วันอาทิตย์ที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

วันวิสาขบูชา

วันวิสาขบูชา
วันสำคัญของพุทธศาสนิกชนทั่วโลก

 วันวิสาขบูชา  เพื่อนๆได้ไปไหนกันมาบ้างเอ่ย?
ส่วนฝนนะ ได้ไปร่วมพิธีสำคัญมาด้วยล่ะ ทั้งนั่งสมาธิ สวดมนต์
แล้วก็เวียนเทียนด้วย มีผู้คนมาร่วมงานกันมากมายเล้ย !! เพราะงานนี้
ถือเป็นงานยิ่งใหญ่ระดับจังหวัดเชียวนะ 

ฝนว่าเราไปรู้จักวันวิสาขบูชากันดีกว่าเนอะ!!


            ความหมาย คำว่า "วิสาขบูชา" หมายถึงการบูชาในวันเพ็ญเดือน ๖ วิสาขบูชา ย่อมาจาก " วิสา - ขบุรณมีบูชา " แปลว่า " การบูชาในวันเพ็ญเดือนวิสาขะ " ถ้าปีใดมีอธิกมาส คือ มีเดือน ๘ สองครั้ง ก็เลื่อนไปเป็นกลางเดือน ๗
          



       วันประสูติ
         เมื่อพระนางสิริมหามายาอัครมเหสีในพระเจ้าสุโททะนะ ทรงมีพระประสูติกาลคือ เจ้าชายสิทธัตถะ ณ ป่าลุมพินีวัน ซึ่งเป็นดินแดนระหว่างกรุงกบิลพัสดุ์ กับกรุงเทวทหะ ปัจจุบันเรียกว่า ตำบลรุมมินเด แขวงเปชวาร์ ประเทศเนปาล ครั้งนั้นตรงกับวันศุกร์ ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 6 ปีจอ ก่อนพุทธศักราช 80 ปี
          วันตรัสรู้
       หลังจากที่เจ้าชายสิทธัตถะทรงถือเพศฆราวาสมา 29 พรรษา จนมีพระโอรสคือ พระราหุล แล้วทรงเบื่อหน่ายทางโลก จึงเสร็จออกบรรพชา ทรงประจักษ์หลักธรรมขึ้นในพระปัญญษ และได้ตรัสรู้เป็นพระสัพพัญญูสัมมาสัมพุทธเจ้าโดยสมบูรณ์ ณ ริมฝั่งแม่น้ำเนรัญชรา ตำบลอุรุเวลาเสนานิคม (ปัจจุบันสถานที่ตรัสรู้แห่งนี้เรียกว่า พุทธคยา เป็นตำบลหนึ่งของเมืองคยา แห่งรัฐพิหารของอินเดีย) ตรงกับวันพุธ ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 6 ปีระกา ก่อนพุทธศักราช 45 ปี ( ขณะนั้นพระพุทธองค์มีพระชนม์มายุได้ 35 พรรษา หลังจากออกผนวช ได้ 6 ปี )



   วันปรินิพพาน
     หลังจากพระพุทธเจ้าองค์ทรงใช้เวลาทั้งหมดเผยแพร่พระศาสนาและสั่งสอนธรรมแก่ประชาชน จนพระชนมายุได้ 80 พรรษาก็เสร็จดับขันธปรินิพาน ณ สาลวโนทยาน แขวงเมืองกุสินารา แคว้นมัลละ (ปัจจุบันอยู่ในเมือง กุสีนคระ) แคว้นอุตตรประเทศ ประเทศอินเดีย ตรงกับวันอังคารขึ้น 15 ค่ำ เดือน 6 ปีมะเส็ง ก่อนพุทธศักราช 1 ปี

   นับว่าเป็นเรื่องที่น่าอัศจรรย์ยิ่ง ที่เหตุการณ์ทั้ง 3 เกี่ยวกับวิถีชีวิตของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งมีช่วงระยะเวลาห่างกัน นับเวลาหลายสิบปี บังเอิญเกิดขึ้นในวันเพ็ญเดือน 6 ดังนั้นเมื่อถึงวันสำคัญ เช่นนี้ ชาวพุทธทั้งคฤหัสถ์ และบรรพชิต ได้พร้อมใจกันประกอบพิธีบูชาพระพุทธองค์เป็นการพิเศษ เพื่อน้อมรำลึกถึงพระกรุณาธิคุณ   พระปัญญาธิคุณ   และพระบริสุทธิคุณ   ของพระองค์ท่าน ผู้เป็นดวงประทีปของโลก 

จากการไปร่วมพิธีคราวนี้ ทำให้ฝนได้อะไรกลับมาหลายๆอย่างเลยล่ะค่ะ 
มีทั้งความสุข ความสงบ ได้ฝึกสวดมนต์ มีสติมากขึ้นด้วย


บรรยากาศในวันนั้น ^^
 ดูเพิ่มได้ >>ที่นี่

พระเจ้าตาก...กู้ชาติ




 พระราชประวัติ
          
         สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช หรือ พระเจ้ากรุงธนบุรี มีพระนามเดิมว่า สิน เป็นบุตรของ        ขุนพิพัฒน์ และ นางนกเอี้ยง เกิดเมื่อวันอาทิตย์ เดือนมีนาคม พ.ศ. 2277 ในแผ่นดิน สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศแห่งกรุงศรีอยุธยา ต่อมา เจ้าพระยาจักรี ขอไปเลี้ยงไว้เหมือนบุตรบุญธรรม ตั้งแต่ครั้งยังเยาว์วัยได้รับการศึกษาขั้นต้นจากสำนักวัดโกษาวาส และ บรรพชาเป็นสามเณร เมื่ออายุ 13 ขวบ 
ที่วัดสามพิหาร หลังจากสึกออกมาแล้ว ได้เข้ารับราชการเป็นมหาดเล็ก และ อุปสมบทเป็นพระภิกษุ 
เมื่ออายุครบ 21 ปีตามขนบประเพณี ของไทยบวชอยู่ 3 พรรษา หลังจากสึกออกมาได้เข้ารับราชการ ต่อ ณ.กรมมหาดไทยที่ศาลหลวงในกรมวัง
        
          ต่อมาในแผ่นดินพระเจ้าอยู่หัวพระที่นั่งสุริยาศน์อมรินทร์ (พระเจ้าเอกทัศน์) จึงได้รับบรรดาศักดิ์เป็นหลวงยกกระบัตรเมืองตากจนได้เป็นพระยาตาก ในเวลาต่อมา หลังจากนั้นได้ถูกเรียกตัวเข้ามาในกรุงศรีอยุธยา เพื่อแต่งตั้งไปเป็น พระยาวชิรปราการ เจ้าเมืองกำแพงเพชรแทนเจ้าเมืองคนเก่าที่ถึงแก่อนิจกรรมลงใน พ.ศ. 2310 ครั้นเจริญวัยวัฒนา ก็ได้ไปถวายตัวทำราชการกับสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มีความดีความชอบจนได้รับเลื่อนหน้าที่ราชการไปเป็นผู้ปกครองหัวหน้าฝ่าย เหนือคือ เมืองตาก และเรียกติดปากมาว่า พระยาตากสินกรุงธนบุรีมีกำหนดอายุกาลได้ 15 ปี สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชครองราชย์สมบัติกรุงธนบุรีได้ 15 ปีเศษ ก็สิ้นพระชนม์มีชนมายุ 48 พรรษา
  
          นอกจากพระราชกรณียกิจในด้านกู้ชาติแล้ว สมเด็จพระเจ้าตากสิน ยังได้ปราบอริราชศัตรูที่มักจะล่วงล้ำเขตแดนเข้ามาซ้ำเติมไทยยามศึกสงครามอยู่เสมอ จนในสมัยของพระองค์ได้ขยายอาณาเขตออกไปอย่างไพศาล ยังโปรดให้มีการทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา การติดต่อการค้ากับต่างประเทศ ทรงจัดวางตำแหน่งหน้าที่ข้าราชการทั้งฝ่ายทหารและพลเรือน ทรงสอดส่องทุกข์สุขของราษฎร และหลังจากกอบกู้แผ่นดินได้แล้ว พระองค์ได้ทรงอัญเชิญพระบรมศพสมเด็จพระเจ้าเอกทัศมา จัดถวายพระเพลิงอย่างสมพระเกียรติและยังทรงรับอุปการะบรรดา เจ้าฟ้า พระองค์ฟ้า พระราชโอรส ตลอดทั้งพระเจ้าหลานเธอของพระมหากษัตริย์กรุงศรีอยุธยาทุกพระองค์ ด้วยความกตัญญูกตเวที
        
          ด้วยพระปรีชาสามารถของพระองค์ ประชาชนทุกหมู่เหล่าจึงพร้อมใจกันถวายพระนาม “มหาราช” แด่ “สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช” และรัฐบาลอันมี ฯพณฯ จอมพล ป. พิบูลสงคราม เป็นนายกรัฐมนตรี พร้อมทั้งเหล่าพสกนิกรชาวไทย ได้พร้อมใจกันสร้างพระราชอนุสาวรีย์ประดิษฐาน ณ วงเวียนใหญ่ ฝั่งธนบุรี ซึ่งศาสตราจารย์ศิลป์ พีระศรี คณบดีประติมากรรม มหาวิทยาลัยศิลปากรขณะนั้น เป็นผู้ออกแบบ

           ทางราชการได้ประกอบพระราชพิธีเปิดและถวายบังคมพระบรมราชอนุสาวรีย์ ครั้งแรกเมื่อวันที่ 17 เมษายน พ.ศ.2497 และในวันที่ 28 ธันวาคม พ.ศ.2497 

           ต่อมาทางราชการจึงกำหนดให้วันที่ 28 ธันวาคม ซึ่งเป็นวันคล้ายวันเสวยราชย์ปราบดาภิเษกเป็นพระมหากษัตริย์ไทย เป็นวันถวายบังคมพระบรมราชอนุสาวรีย์สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช

เล่าเรื่อง...เมืองเก่า

                                         มรดกโลกล้ำเลิศ      กำเนิดลายสือไทย
                                   เล่นไฟลอยกระทง        ดำรงพุทธศาสนา
                                   งามตาผ้าตีนจก            สังคโลกทองโบราณ
                                   สักการ แม่ย่า พ่อขุน     รุ่งอรุณแห่งความสุข
         
        หลายๆคน คงเคยได้ยินคำขวัญข้างต้นกันมาบ้างแล้วนะคะ เป็นคำขวัญของจังหวัด สุโขทัย นั่นเอง   ซึ่งเป็นเมืองเก่าของเรา และมีความสำคัญต่อชาติไทยมาก จึงเป็นสิ่งที่เหมาะที่เราจะมาทำความรู้จักกับเมืองเก่าเมืองนี้ให้มากยิ่งขึ้น
         
       
        เป็นที่ตั้งอาณาจักรแรกของชนชาติไทยเมื่อ 700 ปีที่แล้ว คำว่า สุโขทัย มาจากสองคำคือ สุขะ และ อุทัย หมายความว่า รุ่งอรุณแห่งความสุข รอยอดีตแห่งความรุ่งเรือง เห็นได้จากอุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัยและศรีสัชนาลัย ซึ่งเป็นที่รู้จักของชาวไทยและต่างประเทศ ขณะนี้จังหวัดสุโขทัยตั้งอยู่ภาคเหนือตอนล่างของประเทศไทย ห่างจากกรุงเทพมหานครตามระยะทางหลวงแผ่นดินประมาณ 440 กิโลเมตร มีเนื้อที่ประมาณ  6,596.092  ตารางกิโลเมตร หรือประมาณ 4,122,557  ไร่
      
      การปกครองของกรุงสุโขทัย
      รายนามผู้ปกครอง
      พ่อขุนศรีามนำถม > ขอมสบาดโขลญลำพง > พ่อขุนศรีอินทราทิตย์ > พ่อขุนบานเมือง > พ่อขุนรามคำแหงมหาราช > พญาไสสงคราม > พญาเลอไท > พญางั่วนำถม > พญาลิไท > พญาลือไท

     เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับกรุงสุโขทัย
     ในรัชกาลพ่อขุนศรีอินทราทิตย์ และพ่อขุนบานเมือง เป็นเวลาที่ไทยตั้งตัวใหม่ ๆ ต้องทำสงครามกับเมืองต่าง ๆ ที่ไม่ยอม สามิภักดิ์ โดยพ่อขุนรามคำแหง นำทัพออกปราบปรามเมืองน้อยใหญ่ต่าง ๆ ที่อยู่ชายพระราชอาณาเขต อาณาจักรของกรุงสุโขทัย จึงตกอยู่ในความสงบสุขตลอดมา         จนกระทั่งถึงรัชสมัยของพ่อขุมรามคำแหง ขึ้นครองราชย์ ได้ขยายอาณาเขตออกไปกว้างขวาง เจริญรุ่งเรืองกว่ารัชกาล อื่น ๆ ภายหลังเมื่อพระองค์เสด็จสวรรคต พระเจ้าเลอไท พระราชโอรสได้ครองราชสมบัติ ปรากฏตามพงศาวดารพม่าได้กล่าวไว้ว่า "เมื่อ พ.ศ. 1873 หัวเมืองมอญซึ่งเป็นเมืองขึ้นของกรุงสุโขทัยในสมัยพ่อขุนราม กลับเป็นขบถตั้งแข็งเมือง พระเจ้าเลอไท ส่งกองทัพออกไปปราบปราม แต่ไม่สามารถเอาชนะได้"
       
      ต่อมา พระยาลือไท ราชโอรสได้ขึ้นครองราชย์ต่อจากพระเจ้าเลอไท พระราชบิดา ทรงพระนามว่า "พระมหาธรรมราชาลิไทย" เป็นกษัตริย์ที่ทรงมุ่งทำนุบำรุงอาณาจักรสุโขทัย แต่ในทางธรรมอย่างเดียว ทำให้สุโขทัยขาดความเข้มแข็ง จนไม่สามารถควบคุมประเทศราชไว้ได้ ดังนั้น พระเจ้าอู่ทอง จึงตั้งแข็งเมืองและประกาศอิสรภาพ ไม่ยอมขึ้นกับกรุงสุโขทัย ตั้งแต่ พ.ศ. 1893 เป็นต้นมา ขุนหลวงพะงั่ว เสด็จขึ้นเสวยราชสมบัติต่อมา และได้ส่งกองทัพมาทำสงครามตีเมืองต่างๆ 7 ปี ตั้งแต่ พ.ศ.1914-1921 แต่ไม่สามารถตีหักเข้าเมืองได้
      
      จนกระทั่ง "พระเจ้าไสยลือไท" (พระมหาธรรมราชาที่ 2) ขึ้นครองราชย์ กรุงศรีอยุธยาจึงยกกองทัพไปตีเมืองชากังราว (กำแพงเพชร) ซึ่งพระเจ้าไสยลือไทย เสด็จมาบัญชาการรบเอง จนขุนหลวงพะงั่วไม่สามารถตีหักเอาเมืองได้ แต่ต่อมาทรงพระราชดำริว่า '"ถ้าหากขืนรบต่อไปก็คงเอาชนะกองทัพของขุนหลวงพะงั่วไม่ได้" จึงทรงยอมอ่อนน้อมต่อขุนหลวงพะงั่วโดยดี และนับแต่นั้นมา กรุงสุโขทัยก็สูญเสียเอกราช กลายเป็นเมืองขึ้นของกรุงศรีอยุธยาตลอดไป

สามเหลี่ยมปริศนา

      เ้ครื่องบินและเรือเดินสมุทรหลายร้อยลำ ชีวิตคนหลายร้อยชีวิต หายไปอย่างลึกลับ โดยไร้ร่องรอย ตรงบริเวณที่เราเรียกกันว่า "สามเหลี่ยมเบอร์มิวดา"


          สามเหลี่ยมเบอร์มิวดา (อังกฤษ: Bermuda Triangle) เป็นบริเวณสมมติในมหาสมุทรแอตแลนติก มีเนื้อที่ประมาณ 1.2 ล้าน ตร.กม. อยู่ระหว่างจุด 3 จุดที่ไม่เป็นรูปสามเหลี่ยมด้านเท่า ได้แก่ เปอร์โตริโก ปลายสุดของมลรัฐฟลอริดาในสหรัฐอเมริกา และเกาะเบอร์มิวดาซึ่งเป็นดินแดนในปกครองของสหราชอาณาจักร เป็นที่รู้จักทางสื่อมวลชนอย่างแพร่หลาย หลังจากที่ค้นพบว่าคุณสมบัติทางฟิสิกส์ต่างๆ ไม่เป็นไปตามกฎพื้นฐาน เริ่มเป็นที่รู้จักในปี พ.ศ.2494 ( ค.ศ.1951 )
          
          สามเหลี่ยมเบอร์มิวดา บางคนอาจจะเรียกว่าดินแดนมรณะ เนื่องจากมีผู้คนที่ขับเรือบ้าง ขับเครื่องบินบ้าง หลงเข้าไปในอาณาเขตอันกว้างใหญ่นี้แล้วหายสาบสูญไปอย่าง ไร้สาเหตุ บางคนก็บอกว่าสาเหตุมาจากเจ้ามนุษย์ต่างดาว ไม่ก็มนุษย์ที่อาศัยอยู่ใต้มหาสมุทรบริเวณนั้น บ้างก็บอกว่า มาจากบรรดาวิญญาณ เหล่าปีศาจหรือว่าสัตว์ลึกลับ ก็ว่ากันไปนั่นเนาะ 
          
          ปัจจุบันก็ยังเป็นประเด็นที่ยังถกเถียงกันอยู่อย่างไม่รู้จบ สิ่งเหล่านี้ถือว่าเป็นเงื่อนงำ เกินกว่าปัญญาของมนุษย์จะแก้ได้ทางนักวิชาการก็มีการเสนอทฤษฎีต่างๆนานา บ้างก็ว่าเกิดจากความผิดปกติของสนามแม่เหล็กไฟฟ้า บ้างก็ว่าเกิดจากอำนาจของสิ่งบินลึกลับ หรือที่เราเรียกกันว่า UFO จนคล่องปาก เป็นเวลานานมาก ที่เจ้าดินแดนปริศนาแห่งนี้ ลือกันไปจนทั่วโลก ในฐานะของดินแดนมรณะที่ดูดกลืนชีวิตและทรัพย์สินของผู้ที่สัญจรผ่านไปใน บริเวณนั้นตามสภาพภูมิศาสตร์ทางที่ตั้ง บริเวณนี้เป็นบริเวณที่แปรปรวนมาก เพราะมีทั้งกระแสน้ำอุ่นและกระแสน้ำเย็นไหลมาผสมปะปนกัน จนบางทีก็เกิดสภาพอากาศแบบแปรปรวนกะทันหัน นี่แหละคือ ตัวอันตรายที่จะไม่สามารถพยากรณ์อากาศล่วงหน้าได้เลย นอกจากนี้ ยังจัดเป็นเขตอันตรายที่มักปรากฎคลื่นขนาดยักษ์ที่ เคลื่อนที่ไปอย่างรวดเร็วและรุนแรง คลื่นบางลูกก็ทำให้เกิดสะดือทะเล คือ ผืนน้ำจะเปิดเป็นช่อง หมุนเป็นเกลียวดูดกลืนทุกอย่างเข้าสู่วังวน เรือที่หมุนเข้าไปก็จะพลิกคว่ำและอับปางได้ในเวลาอันรวดเร็ว           
          
           อีกทฤษฎีหนึ่งที่น่าสนใจ แต่มีคนสนใจสนับสนุนน้อยก็คือ มีสิ่งมีชีวิตบางประเภทที่อยู่นอกสารบบของวงการชีววิทยาปัจจุบันค่ะ เพราะว่ามีข่าวลือมากมายจริงๆ กับการค้นพบเจ้าปลาหมึกยักษ์ยาวหลายร้อยฟุต จนไปถึงงูยักษ์หรือว่าเจ้าพวกมังกรทะเล ซึ่งแต่ละปีมีการรายงานสัตว์ตัวยักษ์จำนวนมากทีเดียวในบริเวณนี้ แต่ก็อีกนั่นแหละที่เป็นไปไม่ค่อยได้คือเจ้าสัตว์เหล่านี้ จะมีปัญญาสยบเครื่องบินที่บินฉวัดเฉวียนอยู่บนท้องฟ้าได้อย่างไร
        
          หนังสือบางเล่มบอกเอาไว้ว่า เจอเครื่องบินบนดาวอังคาร แต่ว่านั่นคือ เครื่องบินที่หายสาบสูญในสามเหลี่ยมเบอร์มิวด้าเมื่อสิบปีที่แล้ว สงสัยต้องให้ผู้มีความสามารถสูงหรือว่า คนเหนือคนที่มีพลังจิตหรือว่าพลังพิศวงศึกษาซะแล้วล่ะ



วันเสาร์ที่ 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

เจอแล้ว...ชีวิตฝน

" โตขึ้นหนูอยากเป็นอะไรคะ "

ตั้งแต่เกิดมา ฝนได้ยินคำถามนี้อยู่บ่อยมาก

ครั้งแรกครูคนนึงมาถาม ฝนตอบกลับไปว่า หนูยังไม่คิดค่ะ 
เพราะตอนนั้นฝนก็แค่เด็กวัย 6 ขวบ จะไปคิดอะไรมากมายกับชีวิตข้างหน้า

เมื่อฝนได้เจอกับ พี่ผู้หญิงที่ใส่ชุดสีขาว อยู่ในโรงพยาบาล คอยดูแลฝนในช่วงที่ฝนไม่สบาย ประมาณ 7 วันที่ฝนไม่ได้ไปโรงเรียน มีคนแวะมาเยี่ยมเยียนอยู่มากมาย
 แต่คนที่อยู่คอยดูแลฝนนอกจากพ่อกับแม่แล้ว ก็ยังมีอีกคนหนึ่ง ซึ่งดูแลฝนอย่างดี
ไม่ต่างจากพ่อแม่เลย ก็พี่ผู้หญิงที่ใส่ชุดขาวๆน่ะแหละ ตอนแรกฝนไม๋รู้จะเรียกพี่เค้าว่าอะไร พ่อก็บอกให้เรียกพี่เค้าว่า พยาบาล ก็ได้ เมื่อรู้ว่าพี่เค้าคือ พยาบาล ฝนก็บอกพ่อกับแม่ไปว่า ฝนจะเป็นแบบพี่เค้าให้ได้


หลังจากนั้น เมื่อมีใครมาถามฝนว่า โตขึ้นอยากเป็นอะไร 
ฝนจึงตอบกลับไปอย่างมั่นใจว่า ....พยาบาล...

ตอนนี้ ฝนก็อยู่ ม.3 แล้ว ถึงเวลาที่ต้องค้นหาตัวเองแล้ว ว่าต้องการอะไร จะทำอะไรในอนาคต ต้องขอขอบคุณ ครูอุ๋ย ที่ให้ค้นหาตัวเอง ทำให้ฝนได้ค้นหาตัวเอง ได้รู้ว่าสิ่งไหนเหมาะกับตัวเอง 


คณะพยาบาลศาสตร์ หนึ่งคณะที่ฝนอยากจะก้าวเข้าไปเรียน เพราะคงเป็นคณะเดียวที่สามารถทำให้ฝนก้าวไปเป็นพยาบาลตามที่ใจหวังได้ 
ในคณะนี้ก็จะมีเรียนในวิชาต่างๆมากมาย 
แบ่งตามหมวดหมู่ เช่น
1.หมวดวิชาศึกษาทั่วไป ประกอบด้วย
             1.1 กลุ่มวิชาสังคมศาสตร์/มนุษยศาสตร์
             1.2 กลุ่มวิชาภาษา
             1.3 กลุ่มวิชาวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์
                 2.หมวดวิชาพื้นฐานวิชาชีพ เช่น
              2.1 กายวิภาคศาสตร์ทั่วไป
              2.2 จิตวิทยาพัฒนาการ
              2.3 ชีวเคมีคลินิกสำหรับพยาบาล
                 3.หมวดวิชาชีพ ประกอบด้วย
              3.1 รายวิชาทฤษฎี
              3.2 รายวิชาปฏิบัติ
                 4.หมวดวิชาเลือก ประกอบด้วย
              4.1 รายวิชาบังคับเลือก
              4.2 รายวิชาเลือกเสรี

   ซึ่งวิชาต่างๆเหล่านี้ฝนให้ศึกษามาแล้ว และค้นพบแล้วว่า...เนี่ยแหละ ชีวิตฝน มันใช่เรยยย

   สำหรับคนที่ยังไม่รู้ว่าจะเป็นอะไรดี ก็รีบๆคิดไว้น่ะค่ะ แล้วลองหาข้อมูลดู ว่าจะเหมาะกับตัวเองรึเปล่า                          ฝนก็มีวิธีค้นหาตัวเองมาแนะนำค่ะ โดยวิธีเหล่านี้ก็ได้มาจากครูอุ๋ยผู้น่ารักนั่นเอง (ฮิฮิ)

           ขั้นแรก >> ให้สำรวจตัวเองว่าชอบอะไร ทำอะไรแล้วมีความสุขแล้วก็จดๆไว้ว่ามีไลบ้าง
           จากนั้น >> ก็ลองศึกษาว่าอาชีพที่เลือกเนี้ย! ต้องเรียนอะไลบ้าง
           ต่อไป  >> เยี่ยมชมแต่ละคณะที่เราต้องเรียน เพื่อไล่ตามฝันของเรา
           ต่อไป  >> สืบหาว่าเราต้องเรียนอะไรบ้าง เหมาะกับเรารึเปล่า ให้เกรดในแต่ละวิชา
                
           เกรด 4   ว๊าว วาว มันโดนใจจริงๆ^^
            เกรด 3   ชอบนะ แต่ยังไม่ขีดสุดอ๊ะ
            เกรด 2   ก็พอถูไถไปได้อ่าห๊ะ
            เกรด 1   ฉันไม่เรียนไม่ได้หรอเนี่ย
            เกรด 0   โอ๊ะโอ~ มันไม่ใช่อ่ะ TT
       
           ต่อไป >> เมื่อเกรดออกมาในแต่รายวิชาแล่ะ ก็เอามาบวกๆๆๆ แล้วก็หาเกรดเฉลี่ยเร้ย

            เกรด 0 - 1         อย่าไปเร้ย ปวดตับปล่าวๆ
          เกรด 1 - 1.99   ถ้าเลือกได้ เลือกอย่างอื่นหวา
            เกรด 2 - 2.99    แก้จุดอ่อนก่อนนะคะ
          เกรด 3 - 3.49   มีความสุขโครตๆ
          เกรด 3.5 - 4     เรียนมีความสุข จบแบบเทพอีก  (แอร๊ยยยยย)
          
           เอาวิธีนี้ไปใช้ได้นะคะ  รีบๆค้นหาตัวเองให้เจอเร็วๆน๊าาา ยิ่งเจอเร็ว ยิ่งดีน๊า สู้ๆค้าา

คุณจะได้มีเป้าหมายชิวิตที่ชัดเจน!!!

ผลงาน

      การได้เรียนในโรงเรียนที่ฝนรัก ทำให้ฝนมีความสุขกับการเรียนและการร่วมทำกิจกรรมอื่นๆกับเพื่อนๆ ฝนจึงมีผลงานต่างๆ จากการทำกิจกรรมดังกล่าว แต่มีไม่มากหรอกค่ะเพราะฝนไม่เก่งด้านวิชาการมากเท่าไหร่นัก ก็จะมีแค่ภาษาไทยกับภาษาอังกฤษน่ะแหละค่ะที่พอพึ่งได้บ้าง


ภาพตัวอย่างผลงานจากการทำกิจกรรมของฝนเองค่ะ ^^



ส่วนนี้ก็คือผลงานที่ฝนประทับใจที่สุด
เพราะตัวฝนเองก็ไม่เคยคิดว่าจะได้รางวัลนี้เลย^^

วันอาทิตย์ที่ 8 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

My school

ฝนเรียนอนุบาล 1 - ป.4
ที่ ศ.ท. school ( โรงเรียนศรีอรุโณทัย จ.ระนอง )



       โรงเรียนศรีอรุโณทัย มีสอนในระดับเนอร์สเซอรี่ - ระดับประถมศึกษาปีที่ 6 เป็นโรงเรียนที่มีเพื่อนๆและคุณครูรวมกันทั้งสิ้น  1,300 คน (ตอนนี้คงมีนักเรียนเพิ่มขึ้น) สอนศาสนาคริสต์ สอนให้เชื่อมั่นในพระเจ้า ภายในโรงเรียนจะมีโบสถ์คริสต์อยู่ด้วย เพื่อที่จะได้ประกอบพิธีทางศาสนาในวันสำคัญๆ ฝนเรียนที่นี่ก็ 7 ปีค่ะ เป็นโรงเรียนที่อบอุ่นมาก อยู่กันแบบพี่น้อง(ไม่ใช่โรงเรียนกินนอนนะคะ) ทุกๆคนในโรงเรียนจะรู้จักกันทั่วถึงมาก  เพราะมีการทำความรู้จักกันตลอดเวลา (กิจกรรมเยอะน่ะค่ะ) แต่...ฝนก็มีเหตุจำเป็นที่ต้องย้ายโรงเรียนมาเรียนที่ จ.สงขลา ตอนนั้นเสียใจมากที่ต้องจากเพื่อนๆมา TOT
....................................................................................................................................
ฝนเรียน ป.5 - ป.6
ที่ จ.ส. school ( โรงเรียนจุลสมัย จ.สงขลา )



     โรงเรีนจุลสมัย วันแรกที่ได้เข้ามาในโรงเรียนนี้ ฝนเดินก้าวขึ้นบันได ไปด้วยความไม่แปลกตา เพราะไม่เคยรู้จักโรงเรียนนี้มาก่อน เดินไปเรื่อยๆก็ไปยืนอยู่หน้าห้อง 5/6 ห้องเรียนใหม่ฝนเอง ฝนตื่นเต้นมาก พยายามรวบรวมความกล้าแล้วเดินเข้าไปในห้องนั้น เพื่อนๆในห้องต่างมองฝนเป็นตาเดียวกัน (เด็กใหม่) ฝนก็เดินไปนั่งที่เก้าอี้ด้วยความตื่นเต้น และกลัว แต่ไม่นานนัก เพื่อนที่นั่งใกล้ๆก็หันมาคุยด้วย ทำให้ฝนรู้สึกอุ่นใจขึ้นมาทันที ฝนจะรู้จักแต่เฉพาะนักเรียนรุ่นเดียวกัน ส่วนรุ่นน้องก็ไม่ค่อยรู้จัก เพราะเรียนต่างอาคารกัน แต่โรงเรียนนี้ก็เป็นโรงเรียนที่อบอุ่นมากเลยล่ะค่ะ มีครูที่เข้าใจเด็กๆ มีเพื่อนๆที่น่ารักๆมากมาย >3<
...................................................................................................................................
ฝนเรียน ม.1 - ม.3 (ปัจจุบัน)
ที่ ม.ว. school ( โรงเรียนมหาวชิราวุธ จังหวัดสงขลา ในพระอุปถัมภ์)

         โรงเรียนมหาวชิราวุธ เป็นโรงเรียนที่ยิ่งใหญ่ มีเกียรติ มีศักดิ์ศรี ตอน ป.6 ฝนตั้งเป้าหมายไว้ว่า ต้องสอบให้ติดโรงเรียนนี้ให้ได้ ตอนนี้ฝนก็ได้เข้ามาเรียนอยู่ที่นี่ 2 ปี ใกล้จะ 3 ปีแล้วค่ะ ฝนดีใจมากที่ได้เป็นเด็กนักเรียนของโรงเรียนนี้ โรงเรียนนี้สอนให้เกิดมาตอบแทนบุญคุณแผ่นดิน สอนให้เป็นคนดี สอนให้ประพฤติดี สอนทุกอย่างที่เป็นประโยชน์ต่อตัวเอง สังคม และประเทศชาติ รู้สึกยินดี และภูมิใจที่ได้เข้ามารู้จักสิ่งใหม่ๆในมหาวชิราวุธแห่งนี้...
.....................................................................................................................................

วันพฤหัสบดีที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

มารู้จักกันเถอะ

กราบสวัสดีค่ะ เพื่อนพ้องพี่ๆน้องๆทั้งหลาย
     มารู้จักกันดีกว่า...
                                    
   เนม : ปิยะพร เพ็ชรประชา 
นิคเนม : น้ำฝนค่ะ (เกิดตอนฝนตกกระหน่ำ เลยได้ชื่อนี้มา)
   เบิร์ดเดย์ : วันพฤหัส ที่ 5 กันยายน 2539
อายุ : บวกลบคูณหารเองนะคะ ><
   เรียนที่ : ร.ร.มหาวชิราวุธ จังหวัดสงขลา
สังกัด : LEMON CHOC
   จานโปรด : ข้าวผัดรวมมิตรกับข้าวหมูกรอบ
สีชอบ : ม่วง (ไม่ว่าจะอ่อนหรือแก่ก็ชอบค่ะ)
   ฮอปบี้ : ถ่ายรูปตัวเอง วาดรูป อ่านการ์ตูน บลาๆๆๆ
สปอต : แบดมินตันกะบาสเก็ตบอล
   อยากจะไปเป็น : ดารา เอ้ย!! พยาบาล (สุดสวย)  
ขาดไม่ได้ : ลม...หายใจ (เดี๋ยวตาย) กิกิ 
   อยากไป : ชียงใหม่ (ไปดูหมีแพนด้า)
ของสะสมชิ้นเริ่ด : ปลอกปากกาสวยๆ (อิอิ)
  ไอดอล : พ่อกับแม่ฝนเอง (ไม่มีรูปค่ะ พ่อกับแม่ไม่ค่อยได้ถ่ายรูป)
คติ : ค่าของคน อยู่ที่ผลของงาน



ไม่คาดคิดว่าตัวเองจะมี 
พวกเขาเหล่านี้^^ 


มีเพื่อนๆ ที่แสนดี และน่าร๊ากกกกกกกกก


มีพี่ๆเพื่อนๆในชมรมศิลปะที่โครตเป็นกันเอง
 เสมือนว่า...เราเป็นครอบครัวเดียวกัล


ขอบคุณทุกอย่างที่มอบให้ ขอบคุณทุกๆกำลังใจที่ส่งมานะคะ
ขอบคุณจากใจจริงค่ะ >3<